การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมีสุขภาพแข็งแรง เราต้องให้สิ่งที่ดีต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น อาหาร สภาพแวดล้อม การดูแลป้องกัน แต่ว่าเด็กๆ ก็ไม่ได้ปลอดภัยตลอดเวลา หรือมีอาการเจ็บป่วยบางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด การสร้างสาวกเยาวชนก็เช่นกัน
เด็กที่เราต้องการสร้างบางคนก็มีปมบางอย่างติดตัวมา พฤติกรรมที่เขาตอบสนองต่อพระคำพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นบวก หรือลบ ยอมรับ หรือปฎิเสธ ล้วนเป็นผลมาจากภูมิหลังที่ปั้นแต่งชีวิตของเด็กเหล่านี้ขึ้นมา การจะสร้างเด็กเหล่านี้ให้เติบโตเป็นสาวกที่เข้มแข็งเราจะต้องแก้ปมในอดีตเสียก่อน
เปรียบเทียบเหมือนกับการวิ่งบนหาดทราย ตอนที่เราวิ่งเท้าของเราจะจมลงไปในทราย ทำให้เราต้องออกแรงมากกว่าปกติเพื่อเอาชนะแรงที่ทรายดูดเท้าเราไว้ ยกขาขึ้นจากหลุมเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า แล้วถ้ามียางรถสิบล้อถูกผูกไว้ที่เอวเราด้วยแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้รวดเร็วอย่างที่ควรจะเป็น
การดำเนินชีวิตในสังคมทุกวันนี้ก็มีความสลับซับซ้อน และยากมากพออยู่แล้ว เหมือนกับการวิ่งบนพื้นทราย
ปมชีวิตก็เหมือนกับยางรถสิบล้อที่ถ่วงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น กระบวนการสร้างสาวกที่ดีเราต้องคำนึงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจากปมอดีตของเขาด้วย
ปมอดีตอาจจะเกิดจากครอบครัว การเลี้ยงดู รูปแบบการใช้ชีวิต ซึ่ง เขาอาจจะรู้สึกพึงพอใจกับโลกทัศน์ของเขาเอง แต่ว่าเมื่อเขาอยู่กับคนอื่นๆ หรือเมื่อต้องไปสร้างคนอื่นๆ นิสัยบางอย่างก็อาจจะสร้างปัญหาได้ เช่น การเอาแต่ใจตัวเอง ขี้งอน หรือขี้โมโหมากๆ ปมชีวิตแบบนี้ไม่เป็นที่เสริมสร้างสำหรับคนรอบข้าง ถ้าเราไม่ตัดปมเหล่านี้ที่ถ่วงชีวิตเขาอยู่ออกไป การเติบโตในทางพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง อย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นไปได้ยาก
แล้วจะแก้ปมชีวิตอย่างไร ที่ผมทำคือการผสมผสาน 2 ด้านเข้าด้วยกันคือ ด้านจิตวิทยาและด้านจิตวิญญาณ ซึ่งต้องบอกว่าวิธีการทั้งสองอย่างในการบำบัดคนหรือการตัดปมชีวิตนั้นเหมือนกัน คือใช้ กระบวนการบำบัดภายในหรือที่เรียกว่า inner healing เป็นการพาผู้รับการบำบัดไปเผชิญเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง เพื่อจัดการปมในอดีตให้หมดสิ้นไป แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือพื้นฐานหรือหลักปรัญญาที่สร้างวิธีการของสองด้านขึ้นมา
ด้านฝ่ายโลกเน้นไปที่ความคิดที่ว่ามนุษย์สามารถช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากปมแบบนี้ได้ด้วยกระบวนการด้านจิตวิทยา ซึ่งหลักการนี้มีพื้นฐานปรัญญามาจากคำว่ามนุษยนิยมนั่นเอง คือเชื่อว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่เราคริสเตียนรู้ดีครับว่ามนุษย์ตกลงในความบาปไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
การที่เราจะสร้างสาวกนะครับ เราอาจจะต้องพาเด็กคนนั้นไปเผชิญหน้ากับปมชีวิตที่อยู่เบื้องหลัง ให้เขาร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์จัดการเรื่องนั้นร่วมกับพระองค์
ขณะเดียวกันเราจะต้องให้พระคำของพระเจ้าเป็นรากฐานในการบำบัดด้วย พระคัมภีร์ที่เป็นรากฐานสำคัญก็คือ เอเฟซัส บทที่ 1-3 กล่าวถึงชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้รับการเปลียนแปลงอย่างไร
วรรณกรรมคริสเตียนอย่าง ผู้หักโซ่ตรวน และชัยชนะเหนือความมืด เป็นหนังสือที่ช่วยปรับความเข้าใจว่าเมื่อเขาอยู่ในพระเยซูแล้ว เขามีชัยชนะ เขาไม่ใช่พ่ายแพ้ เขาสามารถหักโซ่ตรวนที่ล่ามชีวิตเขาไว้ได้ สิ่งเหล่านี้สนับสนุนเกื้อกูลกัน
ถึงแม้ว่ากระบวนการนี้จะเริ่มต้นจากคนสองคน คือผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับการปรึกษา แต่ความต่อเนื่องในการเสริมสร้างต้องได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อนฝูง ที่มีอุดมการณ์แบบเดียวกัน รับรู้แบบเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจึงจะสำเร็จ ผมเชื่อว่านี่คือการตัดปมชีวิต หรือกระบวนการลบนั่นเองครับ
ประวิทย์ ศรีวิไลฤทธิ์
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ YFC